BACK TO EXPLORE

Maison Claris มิตรภาพและความหลงใหลสู่แสงสว่างของบ้านแห่งขนม

Maison Claris มิตรภาพและความหลงใหลสู่แสงสว่างของบ้านแห่งขนม
ความหลงใหลใน Fine Dining คือจุดเริ่มต้นของร้านขนมที่หล่อหลอมจากความชอบและความสุข

คำกล่าวที่ว่า “เราไม่ควรทำธุรกิจกับเพื่อน” อาจเป็นความเชื่อที่หลายๆ คนเอาไว้เตือนใจตอนที่จะเริ่มทำกิจการอะไรสักอย่าง แต่คำพูดนี้ไม่น่าจะใช้ได้กับการเริ่มต้นของบ้านแห่งแสงสว่างที่สร้างด้วยขนมหวานนานาชาติชั้นเลิศที่ชื่อว่า "Maison Claris" ชั้น 1 สยามเซ็นเตอร์ เพราะว่าธุรกิจร้านขนมแห่งนี้เริ่มต้นจากมิตรภาพของหนุ่มสาวสี่คนที่รู้จักกันมานาน มีประสบการณ์เรียนในต่างประเทศด้วยกัน จากนั้นมิตรภาพก็เดินทางผ่านเวลา หล่อเลี้ยงกันและกันด้วยความรักในสิ่งเดียวกัน บ่มเพาะกันและกันผ่านการเดินทางไปทั่วโลก เป็นประสบการณ์ร่วมกันผ่านสิ่งที่ต่างคนต่างลุ่มหลง นั่นคือ การนัดหมายกันออกไปใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อรับประทานอาหารชั้นเลิศที่เรียกว่า Fine Dining และเมื่อหลงใหลในสิ่งเดียวกันมานาน วันหนึ่งธุรกิจจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่ไม่ใช่ธุรกิจ แต่คือ..ความชอบและความสุขที่มีร่วมกันนั่นเอง



 

 

“มันเริ่มมาจากการที่พวกเราเป็น Foodies”

คุณณัฐ – ณัฐวรรณ สันติภาพ สาวสวยเจ้าของร้าน เลือกแนะนำตัวเธอกับเพื่อนๆ แบบนี้  “คือพวกเรารู้จักกันมานาน และกลุ่มของเรานั้นทุกคนมีความชอบส่วนตัวร่วมกันนั่นคือออกไปหาประสบการณ์ที่เรียกว่า Fine Dining ด้วยกัน” เจ้าของร้านสาวเรียกสิ่งที่เธอกับเพื่อนๆ หลงใหลว่า..ประสบการณ์ 

ตอนนั้นเองที่คุณแบ๊งค์ - ธเนศพล บูรพาสกุล ชายหนุ่มหุ้นส่วนอธิบายเสริม

“Fine Dining อาจมองเผินๆ เหมือนการออกไปหาอะไรทานกันเฉยๆ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่นั้นครับ คือ Fine Dining เป็นการออกไปพบกับประสบการณ์ หนึ่ง..อาหารที่รสชาติดีและวัตถุดิบชั้นยอด สอง..ประสบการณ์การบริการที่ออกแบบให้มีความพิเศษ และสาม..คือการที่เราออกไปร้านอาหารใหม่ๆ จ่ายค่อนข้างแพงเนี่ยเป็นเพราะว่าเราอยากจะได้ลิ้มลอง ได้ชิมหรือได้ดูไอเดียใหม่ๆ ของเชฟคนนั้น ซึ่งเชฟในร้านอาหารแบบนี้ เขาก็จะมีการเปลี่ยนเมนูอาหารใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ประมาณ 3-4 ครั้ง หรือมากกว่านั้นแล้วแต่ฤดูกาล หรือแล้วแต่วัตถุดิบที่เขาคัดสรรมาในช่วงนั้น ซึ่งความสนุกของประสบการณ์นี้คือเราจะได้เจอกับการ Mix and Match วัตถุดิบใหม่ๆ ที่มันหาทานไม่ได้ทั่วไปและวิธีการครีเอทีฟไอเดียต่างๆ ทำให้ออกมาเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ อันนี้คือคีย์หรือหัวใจของการเป็น Fine Dining เลยครับ”

“ใช่ค่ะ มันคือประสบการณ์ สำหรับณัฐ มักจะชอบเปรียบเทียบว่า Fine Ding ก็เหมือนกับการออกไปดูหนังซักเรื่อง คือเราใช้เวลาสองสามชั่วโมงออกไปดูหนังกันเพื่อเจอเรื่องใหม่ๆ Fine Dining ก็ไม่ต่างกันคือเราใช้เวลาสองสามชั่วโมง..หรือมากกว่าในการไปชิมอาหารตั้งแต่ 6-9 เมนู หรือบางทีมีถึง 13 เมนู พวกเราก็เคยเจอ เพราะฉะนั้นการไปทุกๆ ครั้งมันก็เลยไม่เคยเหมือนกันเลยซักครั้งค่ะ” สองหุ้นส่วนเล่าแล้วยิ้มกันเองอย่างมีความสุขกับประสบการณ์ที่พวกเขาเคยร่วมผ่านมาด้วยกัน

 

แต่..แต่ทำไมการทำธุรกิจร้านแรกของเพื่อนกลุ่มนี้ถึงเป็นร้านขนมล่ะ?
ทำไมไม่เป็น Fine Dinning?

เจ้าของร้านสาวตอบทันทีแบบเขินๆ “คือส่วนตัวณัฐชอบขนมมาก..และเวลาเราไป Fine Dining เนี่ย มันมีปัญหาอย่างนึงเกี่ยวกับการทานขนมคือ...มันจะมาเป็นเมนูสุดท้าย คือบางทีที่เราอยากทานขนมมากๆ เราก็รู้สึกว่าวันนี้ต้องทานสิบคอร์สก่อน เพื่อจะให้ถึงสิ่งที่รอคอยงั้นหรือ? คือบางทีก็อยากให้มันมาถึงเร็วๆ ขึ้นน่ะค่ะ เพราะบางทีเราอิ่มไปซะก่อน” เธอขำตัวเองร่วน “นั่นแหละก็เลยอยากทำร้านขนมแบบ Fine Dessert ที่แบบเสิร์ฟได้เลย ทานขนมได้เลยโดยที่ไม่ต้องมีพิธีรีตองแบบเดิม”

“ต้องบอกแบบนี้ด้วยครับว่า คือพวกเราเองจริงๆ แล้วไม่เคยอยู่ในธุรกิจอาหารหรือขนมมาก่อน” ชายหนุ่มบอกที่มาของร้าน “ซึ่งตอนแรกก็คิดไว้หลายอย่างเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกสิ่ง Fine Dessert นี่แหละ ทำสิ่งที่เราชอบ มาจากความชอบล้วนๆ”

 

พูดถึงความ ‘ชอบ’ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการทำธุรกิจโดยเฉพาะของคนรุ่นใหม่

เจ้าของร้านทั้งสองได้ให้ความหมายของคำว่า ‘ชอบ’ ไว้อย่างน่าสนใจและน่าคิด

“ความชอบอย่างเดียวไม่น่าจะพอครับ แต่ความชอบต้องทำให้เกิดความสนใจและสานต่อมาเกิดการศึกษาด้วย โดยส่วนตัว ผมเป็นคนชอบทานพวกเบอร์รี่และช็อคโกแลตเป็นพิเศษ คือชอบมาก มากจนทำให้สมัยที่อยู่ลอนดอนหรือฝรั่งเศสเนี่ย ผมจะพยายามไปตามงาน Chocolate Academy อะไรพวกนี้ แล้วก็ไปสืบหาช็อคโกแลตที่ผมชอบ และไปคุยกับผู้รู้เพื่อให้เราได้รู้ว่า อ๋อ..แบบนี้มันต้องมาจากสายพันธุ์นี้ ปลูกแบบนี้ แบบนี้ต่างกับแบบนั้นตรงไหน ปลูกที่ไหน ยังไง คือทำให้เรารู้จักโลกของมันมากขึ้น และพอเราไปทาน Fine Dine ที่ไหน พอเค้ายกมาเสิร์ฟเราก็พอมีความรู้ในสิ่งที่เขาทำออกมา และพอเราทำร้านขนม เราก็คิดต่อไปได้อีก เพราะมีข้อมูลที่มีคุณภาพให้เลือกจำนวนมาก นี่คือที่มาจากความชอบครับ” คุณแบ๊งค์อธิบาย

ส่วนในมุมเจ้าของร้านสาวอย่างคุณณัฐ พูดถึงความชอบทั้งในมุมของเซ็ทอาหารและในมุมที่อยากจะส่งต่อประสบการณ์ให้กับลูกค้าในร้าน Maison Claris ว่า “อย่างณัฐจะชอบความเป็นเมนูที่การดีไซน์และออกแบบมาว่า เฮ้ย..จานนี้เขาใช้เทคนิคแบบนี้เลยนะ เขาผสมผสานสิ่งนี้กับสิ่งนี้เลยนะ และเขาพรีเซนต์แบบนี้ด้วยนะ คือต้องทานอะไรก่อน อะไรทีหลัง แบบนี้ทำให้เราสนุก มีความสุขและอยากสร้างประสบการณ์แบบนั้นให้คนทานขนมร้านของเราบ้าง ดังนั้นแต่ละเมนูในร้านของเรา ทุกเมนูจึงมีที่มา มีการออกแบบ และมีเรื่องราวทั้งหมด”


 

“เมนูในร้านของเราจะมีธีมหลักเลยคือ Fine Dessert และการท่องเที่ยวครับ”

“คือมันมาจากการที่เรามีความทรงจำที่ดีในสถานที่ต่างๆ มีจินตนาการในการไปในที่ต่างๆ ดังนั้นแต่ละจานจะมาจากแรงบันดาลใจที่เรานึกถึงสถานที่ที่เราเคยไป หรืออยากไป และทำให้เกิดไอเดียในการออกแบบประสบการณ์นั้นออกมาในแบบของเราเอง ผ่านเมนูขนมของเรา”

เจ้าของร้านสาวอธิบายความคิดของเธอ พร้อมกับพูดถึงเมนูซิกเนเจอร์ของร้าน Claris Set ซึ่งเป็นเมนูโปรดที่สุดของเธอด้วยว่า “อย่างเซ็ทนี้ แรงบันดาลใจของเมนูนี้มาจากทุ่งดอกไม้กับโรงน้ำหอมในฝรั่งเศส ซึ่งพอเราออกแบบความคิดโดยดึงเทคนิคจาก Fine Dine มาคือการแยกรสชาติทุกอย่างออกมาเป็นส่วนๆ และประกอบกันใหม่ แต่รสชาติแต่ละส่วนนั้นจะต้องเป็น taste pairing ด้วยคือมีรสชาติที่ไล่ต่อกัน หรือเข้ากันได้ด้วย อย่างเมนูนี้ก็เริ่มจาก Rose Sphere ที่พอทานเข้าไปของเหลวในสเฟียร์นี้ก็จะออกมาทำให้รู้สึกถึงความเป็นกุหลาบมากๆ ก่อนเลย จากนั้นก็จะตามด้วยตัวชูว์ลิ้นจี่  ซึ่งชูว์เราจะไม่มีการบีบครีมทิ้งไว้ผิวชูว์จะได้ไม่นุ่ม ส่วนไส้เราไม่ใช้ครีม แต่จะเป็นไส้กานาชช็อคโกแลตเบลเยี่ยมแท้ที่มีโคโค่บัตเตอร์สูง ไม่มีน้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันพืชเลย และสุดท้ายก็ต่อด้วย Raspberry Mousse ซึ่งใช้ราสป์เบอรี่สดมาคั้นและทำขึ้นมาใหม่เอง และอย่างดอกไม้เป็นการพรีเซนต์รายละเอียดของเมนูทีละขั้นตอนโดยที่จะมีพนักงานคอยแนะนำรายละเอียดทุกเมนูค่ะ”

สองหุ้นส่วนร้านอธิบายเมนูหลักของร้านซ้ำเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่ทราบได้ (เชื่อว่าไม่น้อย) แต่ทั้งคู่ยังคงดูมีความสุขอยู่เสมอราวกับเพิ่งคิดค้นมันได้ใหม่ และพูดถึงมันเป็นครั้งแรก สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดอีกหนึ่งอย่างว่าทำไมพวกเขาถึงเรียกร้าน Maison Claris แห่งนี้ว่า “บ้านหลังเล็กๆ และโลกส่วนตัวใบเล็กๆ ของเรา”

ซึ่งถึงแม้จะเป็นบ้านหลังเล็ก แต่รสชาติ และคุณภาพของ Fine Dessert รวมกับไอเดียและการบริการของบ้านหลังนี้ บอกได้เลยว่า..ใหญ่โตระดับนานาชาติ

มาพบกับประสบการณ์สุดพิเศษแบบนี้ได้ที่ร้าน Maison Claris ชั้น 1 สยามเซ็นเตอร์

YOU MAY ALSO LIKE